1. ในการสำรวจรังวัดที่ดินเพื่อความรวดเร็วนั้น จะต้องใช้ภาพถ่ายทางอากาศมาเป็นเครื่องมือในการดำเนินการร่วมกับการใช้เครื่องมือในการสำรวจรังวัดภาคพื้นดิน เช่น กล้องวัดมุม เครื่องวัดระยะทาง ฯลฯ แต่ในการใช้ภาพถ่ายทางอากาศนั้น มีข้อจำกัดเรื่องภูมิประเทศจะต้องแปรภาพได้ง่าย เช่น สภาพการทำประโยชน์ในที่ดินชัดเจน ภาพถ่ายทางอากาศจะต้องมีการดัดแก้ให้ถูกต้องตามมาตราส่วน ในการสำรวจรังวัดที่ดินที่ใช้ภาพถ่ายฯ ทำให้ลดค่าใช้จ่ายและเวลาในการปฏิบัติงาน ซึ่งเคยใช้ปฏิบัติงานในพื้นที่ ส. ป. ก. ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปรากฏว่าใช้งานได้รวดเร็วและมีความถูกต้องมาก แต่สำหรับพื้นที่ภาคใต้ค่อนข้างจะจำกัดเรื่องของการแปรภาพถ่ายเพราะสภาพของพื้นที่ปลูกไม้ยืนต้นทำให้แนวขอบเขตของแปลงที่ดินไม่ค่อยชัดเจน จึงได้ใช้วิธีรังวัดภาคพื้นดิน โดยใช้ กล้องรังวัดมุม เครื่องวัดระยะ ฯลฯ แต่ใช้วิธีกำหนดค่าพิกัดของกลุ่มงานแปลงที่ดินเป็นระบบ ศูนย์ลอยแทนระบบ UTM ซึ่งมีความรวดเร็วและถูกต้องเนื่องจากไม่ต้องถ่ายค่าพิกัดจากหมุดหลักฐานของกรมที่ดิน หรือจากค่า GPS ที่มีค่าพิกัดเป็น UTM เข้าไปยังพื้นที่ปฏิบัติงาน ซึ่งจะต้องใช้เวลามากทำให้เกิดความล่าช้าในการปฏิบัติงาน และ เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย 2.
2563) มียอดให้บริการรังวัดออกโฉนดที่ดินด้วยระบบ RTK GNSS Network เฉลี่ยรวม 505, 000 แปลง แบ่งเป็น 1. การรังวัดออกโฉนดที่ดินเป็นการเฉพาะราย (มาตรา 59) จำนวน 420, 000 แปลง 2. โครงการเดินสำรวจรังวัดรูปแปลงโฉนดที่ดินและเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินด้วยระบบ RTK GNSS Network จำนวน 70, 000 แปลง 3. โครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 15, 000 แปลง นายนิสิต กล่าวทิ้งท้ายว่า ในปีงบประมาณ พ. 2564 กรมที่ดินกำหนดพื้นที่ในการยกระดับการรังวัดด้วยระบบด้วยดาวเทียมแบบจลน์ (RTK GNSS Network) จำนวน 10 จังหวัด ได้แก่ ลำปาง ลำพูน สุพรรณบุรี กาญจนบุรี เพชรบุรี มุกดาหาร สกลนคร ยโสธร กระบี่ และประจวบคีรีขันธ์ โดยในปีงบประมาณถัดไป จะได้ยกระดับอีก 18 จังหวัด เพื่อให้ครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ นี่คือ นวัตกรรมการรังวัดของกรมที่ดิน เพื่อสร้างความมั่นคงและช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ กรมที่ดิน ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาและยกระดับการให้บริการประชาชนอย่างต่อเนื่อง